Learn about Lisu

นิทานพื้นบ้านลีซู

 

Let’s learn

นิทานพื้นบ้านลีซู

คำนำ

ปี พ.ศ. 2562 ศูนย์มรดกชาติพันธุ์ลีซู จึงได้ดำเนินการจัดทำ โครงการคลังข้อมูลตำนานและความเชื่อกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู บ้านดอยล้าน ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย  สนับสนุนโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เพื่อรวบรวม จัดการ และจัดเก็บข้อมูลตำนานและความเชื่อของหมู่บ้านดอยล้าน

การดำเนินโครงการฯ ในปีดังกล่าว ทำให้ได้ข้อมูลนิทานจำนวน 22 เรื่อง รวมถึงข้อมูลประวัติศาสตร์ชุมชน แผนที่ชุมชน และปฏิทินชุมชน

เสียงร้องของจักจั่น

เล่าโดย สมคิด แซ่จู และ วนิดา สีมี่

นานมาแล้ว มีจักจั่นตัวหนึ่ง มันก็เหมือนสัตว์ทั่วไปที่ภายในลำตัวประกอบไปด้วยลำไส้ ปอด ตับ หัวใจ และอุจจาระ อยู่มาวันหนึ่งจักจั่นรู้สึกเหงา จึงส่งเสียงร้อง มันร้องเสียงดังจนเก้งที่อาศัยอยู่แถวนั้นตกใจ

เก้งจึงวิ่งหนีเข้าไปในรูหนู หนูสะดุ้ง

ถามเก้งว่า “มาขุดหลุมฉันทำไม”

เก้งตอบว่า “ฉันไม่รู้ว่ามีจักจั่นอยู่ มันร้องเสียงดังฉันเลยตกใจ วิ่งหนีมา”

หนูก็ตกใจเก้ง วิ่งหนีไปถึงเถาฟักทอง หนูแทะขั้วฟักทอง ฟักทองหลุดจากขั้วกลิ้งไปชนต้นกล้วย ฝูงค้างคาวซึ่งกำลังดูดน้ำหัวปลีอยู่อย่างเพลิดเพลินก็สะดุ้ง

ฝูงค้างคาวถามฟักทองว่า “ทำไมกลิ้งมาชนพวกเรา”

ฟักทองตอบว่า “อย่าโทษฉันเลย โน่น ไปโทษหนูโน่น หนูมันแทะขั้วฉัน”

ฝูงค้างคาวตกใจ พากันบินหนีเข้าไปในรูจมูกช้าง ช้างอยู่ไม่เป็นสุข ฟาดงวงไปมาจนถูกบ้านเรือนชาวบ้านเสียหาย

ชาวบ้านต่างเดือดร้อน ถามช้างว่า “เป็นอะไรไปเจ้าช้าง ทำไมจึงเที่ยวทำลายบ้านของพวกข้า”

ช้างก็ตอบไปว่า “พวกเจ้าต้องโทษฝูงค้างคาว มันพากันบินเข้ามาอยู่ในรูจมูกข้า”

ชาวบ้านจึงถามเอาความกับฝูงค้างคาว ค้างคาวว่า “ไปโทษฟักทองโน่น”

ชาวบ้านจึงถามเอาความกับฟักทอง ฟักทองว่า “ไปโทษหนูโน่น”

ชาวบ้านจึงถามเอาความกับหนู หนูว่า “ไปโทษเก้งโน่น”

ชาวบ้านจึงถามเอาความกับเก้ง เก้งว่า “ถ้าพวกเจ้ายอมไม่ได้จริงๆ ก็ไปเอาความกับจักจั่นโน่น”

ชาวบ้านจึงถามเอาความกับจักจั่น จักจั่นว่า “ถ้าพวกเจ้ายอมไม่ได้จริงๆ ก็เอาขี้ที่มีอยู่สามท่อนของข้าไปนึ่งกินเสีย”

ท้ายที่สุด ชาวบ้านลงความเห็นกันว่าจักจั่นเป็นเหตุให้พวกเขาเดือดร้อน จึงควักลำไส้จักจั่นออกไปจนหมด

 เชื่อกันว่าเพราะเหตุนี้จักจั่นจึงไม่มีอะไรเหลืออยู่ในท้อง

ขว่า ตา ซาผะผู้เจ้าเล่ห์

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่ และ สมคิด แซ่จู

นานมาแล้ว ชาวบ้านคนหนึ่งขอแรงพี่น้องในหมู่บ้านไปช่วยปลูกข้าวในไร่ของตน ในบรรดาชาวบ้านที่มาช่วยงาน มีชายคนหนึ่งชื่อนายขว่า ตา ซาผะ เจ้าของไร่ขอให้นายขว่า ตา ซาผะเป็นผู้ดูต้นทาง และกำชับว่า “ถ้าตำรวจมา ช่วยตะโกนบอกด้วยนะ” 

ทั้งสองตกลงกันเรียบร้อย ครั้นเวลาเที่ยง เจ้าของไร่เตรียมอาหารหลายอย่าง เช่น ลาบหมู น้ำพริก เนื้อหมูย่าง พร้อมทั้งเหล้า เพื่อเลี้ยงตอบแทนชาวบ้านที่มาช่วยงาน 

ขณะที่ชาวบ้านและเจ้าของไร่กำลังจะลงมือกินข้าว นายขว่า ตา ซาผะก็ตะโกนว่า “ตำรวจมาๆ ” ซ้ำไปซ้ำมา ทุกคนได้ยินก็ตกใจ พากันวิ่งหนีโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และโดยที่ไม่รู้ว่านายขว่า ตา ซาผะนั้นโกหก

จังหวะนั้นขว่า ตา ซาผะก็วิ่งไปเก็บอาหารและเหล้าทั้งหมดมาห่ออย่างดี แล้วนำไปฝังไว้หลายๆที่ จากนั้นจึงเดินกลับบ้าน

ระหว่างทางกลับบ้านเขาปะชายชราคนหนึ่งเดินยันไม้เท้ามา ขว่า ตา ซาผะเห็นว่าไม้เท้านั้นทำจากเงิน  

นายขว่า ตา ซาผะถามชายชราว่า “อาปาจะไปไหน” (อาปา หมายถึงปู่หรือตาในภาษาลีซู) 

“อาปาอยากได้อะไรไหม จะเอาน้ำหรือจะเอาเนื้อ หรือจะเอาลาบ หรือจะเอาข้าว”

ชายชราถอนใจ แล้วรำพึงว่า “ตาหิวข้าวเหลือเกิน” 

นายขว่า ตา ซาผะถามอีกว่า “อาปา เอาไม้เท้าเงินของอาปามาแลกกับไม้เท้าของผมไหม” 

ชายชราตอบว่า “ไม้เท้าของอาปานี้เป็นไม้เท้าเงิน แต่ไม้เท้าของเจ้าเป็นไม้ธรรมดาเท่านั้น”  

นายขว่า ตา ซาผะ จึงออกอุบาย “อาปาลองดูนะว่าไม้เท้าของผมกับของอาปา ของใครดีกว่ากัน” จากนั้นเขาก็ท้าชายชราว่า  “อาปาลองเอาไม้เท้าของอาปาไปทิ่มดินดูนะ ดูว่าจะมีอาหารที่อยากกินออกมาไหม” 

ชายชราทำตามที่นายขว่า ตา ซาผะแนะนำ แต่ก็ไม่มีอะไรออกมาจากพื้นดิน 

จากนั้น นายขว่า ตา ซาผะถามชายชราว่า “อาปาอยากกินอะไรไหม อยากกินเนื้อหมูไหม” 

นายขว่า ตา ซาผะ ทิ่มปลายไม้เท้าลงดินตรงที่ตนฝังเนื้อหมูไว้ เนื้อหมูจึงปรากฏตามใจนึก  

“เห็นไหมอาปา ไม้เท้าข้าดีขนาดไหน” 

แล้วเขาก็ถามชายชราต่อ “อาปาอยากดื่มเหล้าไหม” 

ชายชราตอบว่า “อยากสิ”  

นายขว่า ตา ซาผะจึงทิ่มปลายไม้เท้าลงดินตรงที่ตนฝังเหล้าไว้ก่อนหน้านี้ ปรากฏว่าก็ได้เหล้าตามใจนึกอีก 

นายขว่า ตา ซาผะท้าชายชราอีกครั้ง “เอาล่ะ ลองใช้ไม้เท้าอาปาทิ่มดินดูอีกครั้งนะ ดูสิว่าจะเหมือนของผมไหม” 

แน่นอนว่าไม้เท้าของชายชราไม่อาจทำได้อย่างไม้เท้าของนายขว่า ตา ซาผะ ชายชราจึงตัดสินใจแลกไม้เท้าเงินของตนกับไม้เท้าธรรมดาของนายขว่า ตา ซาผะ 

หลังจากนั้น ชายชราก็ถือไม้เท้าของนายขว่า ตา ซาผะ แล้วเดินทางต่อ ระหว่างทางชายชราเกิดหิวขึ้นมาจึงทิ่มไม้เท้าลงดิน แต่กลับไม่มีอาหารโผล่จากพื้นดินเลย ไม่ว่าจะทิ่มลงไปตรงไหน สุดท้ายชายชราผู้นี้ก็ต้องตายไปเพราะอดอาหาร

เหตุใดเสือจึงไม่เข้าใกล้คน

เล่าโดย อะคูเมอะ แซ่ย่าง

นานมาแล้ว เสือตัวหนึ่งเดินมาพบควายกำลังไถนา เสือเห็นดังนั้นจึงอดสงสัยไม่ได้ เลยเอ่ยถามควายว่า 

“นี่ท่าน! มนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ตัวท่านใหญ่ เขาก็ยาวขนาดนี้ ไฉนต้องรับใช้มนุษย์ด้วยเล่า” 

ควายตอบว่า “นี่ท่าน! มนุษย์มันฉลาดนัก เราสู้มันไม่ได้หรอก” 

เสือจึงถามว่า “มันฉลาดขนาดนั้นเลยหรือ” 

ควายตอบว่า “ใช่แล้ว มนุษย์ฉลาดเฉลียว และหลักแหลมมาก” 

เสืออุทาน แล้วกล่าวต่อ “โอ้โฮ! ถ้าเช่นนั้นท่านช่วยบอกให้มนุษย์ของท่านช่วยสอนข้า ช่วยแบ่งปันความฉลาดให้ข้าทีสิ” 

จากนั้นเสือก็เดินหามนุษย์ตามทางที่ควายบอก 

เมื่อพบมนุษย์จึงทักว่า “มนุษย์เอ๋ย ข้าได้ยินจากควายว่าท่านฉลาดหลักแหลมนักใช่ไหม มาช่วยสอน ช่วยแบ่งปันความฉลาดให้ข้าทีสิ” 

มนุษย์ตอบว่า “ข้าไม่ได้พกความคิดและความฉลาดมาจากบ้านด้วยน่ะสิ”

เสือยืนกรานและว่า “คุณก็กลับบ้านไปสิ ไปเอามาให้ข้าดูเป็นขวัญตาหน่อย” 

มนุษย์ว่า “ไม่ล่ะ ระหว่างที่ข้ากลับไปที่บ้าน ท่านอาจจะหนีไปเสียก็ได้” 

เสือจึงเสนอว่า “ถ้าท่านกลัวข้าหนี ท่านก็เอากระสอบมาสิ ข้าจะเข้าไปในกระสอบแล้วท่านก็มัดปากกระสอบเสีย” 

มนุษย์ถามว่า “ท่านแน่ใจแล้วหรือ”  

เสือตอบ “แน่ใจสิ” 

มนุษย์ให้เสือเข้าไปในกระสอบ แล้วมัดปากกระสอบ นำไปแขวนไว้กับต้นไม้ จากนั้นมนุษย์ก็บอกเสือว่า “ข้าไปเอาความคิดและความฉลาดที่บ้านก่อนนะ” 

เสือตอบจากในถุงกระสอบว่า “ดี” 

แท้จริงแล้วมนุษย์เดินไปตัดไม้ท่อนใหญ่ มาเหลาจนเหมาะมือ แล้วกลับไปหาเสือ เมื่อใกล้ถึงกระสอบที่ใส่เสือเอาไว้  

มนุษย์ก็เอ่ยว่า “เสือเอ๋ย ข้ามาถึงแล้ว ข้าเอาความคิดและความฉลาดมาแล้วนะ” 

เสือตอบ “เออ ได้ยินแล้ว”  

สิ้นเสียงเสือ มนุษย์ก็เอาท่อนไม้ฟาดหน้าผากเสือสามครั้งดัง โถ่ง โถ่ง โถ่ง 

แล้วพูดว่า “นี่ล่ะ ความคิดและความฉลาดของข้า” 

เสือร้อง “โอ๊ย! โอ๊ย! โอ๊ย!” 

และขอร้องมนุษย์ว่า “มนุษย์เอ๋ย ข้าขอร้อง อย่าตีข้าอีกเลย ข้าเจ็บเหลือเกินแล้ว” 

มนุษย์ตอบกลับ “แล้วจะให้ทำอย่างไร” 

เสือจึงให้สัญญากับมนุษย์ว่า “เอาอย่างนี้ ต่อไปนี้เวลากลางวันข้าจะยอมถอยห่างจากเจ้า ไกลราวภูเขาสามลูก จะไม่ให้เจ้าเห็นข้า เวลากลางคืนข้าจะยอมถอยห่างจากเจ้าราวสามวา ปล่อยข้าทีเถิด ข้าเข็ดหลาบแล้ว” 

มนุษย์จึงปล่อยเสือออกจากกระสอบไป  

ชาวลีซูเชื่อว่าผู้ที่อกตัญญูต่อพ่อแม่คือคนบาป เสือจะปรากฏกายให้คนบาปเห็น และจะบันดาลให้คนบาปเห็นลายของตนชัดเจนเสมอ แม้จากระยะไกล ส่วนผู้ที่กตัญญูต่อพ่อแม่คือคนที่ไม่มีบาปติดตัว เสือจะไม่ปรากฏกายให้เห็น หรือหากเสือจะปรากฏตัวให้คนไม่มีบาปเห็น เสือจะบันดาลให้คนไม่มีบาปเห็นตัวเสือเป็นเนื้อสีแดง ไม่เห็นลายของมัน

เหตุใดสุนัขจึงเป็นสัตว์เลี้ยงของคน

เล่าโดย สมคิด แซ่จู

นานมาแล้ว ในสมัยที่สุนัขหากินและอาศัยอยู่ด้วยตนเอง มีสุนัขตัวหนึ่งนึกอยากมีนาย 

สุนัขเห็นว่าช้างเป็นสัตว์ใหญ่ ช้างน่าจะให้ที่พักพิงและปกป้องมันได้ มันจึงไปขออยู่กับช้าง 

พอตกดึก สุนัขก็ไปนอนกับช้าง เมื่อมีอะไรผิดสังเกตมันจึงเห่า 

ช้างกลับปรามสุนัข “อย่าเห่า เดี๋ยวเสือมา” 

สุนัขพูดอย่างใจคิดว่า “ตัวท่านใหญ่ขนาดนี้ยังจะกลัวเสืออยู่อีกหรือ อย่างนี้ข้าไม่กล้าอยู่กับท่านแล้ว” 

จากนั้น สุนัขจึงไปอยู่กับเสือ และอีกเช่นเคย เมื่อมีอะไรผิดสังเกตในยามดึก สุนัขก็เห่า 

เสือกลับปรามว่า “เงียบเถิด เดี๋ยวมนุษย์ได้ยินแล้วจะมาทำร้ายเรา มาฆ่าพวกเราเอานะ” 

สุนัขจึงพูดอย่างใจคิดว่า “ท่านเป็นเสือ ท่านยังจะกลัวมนุษย์อีกหรือ” 

แล้วสุนัขก็บอกเสือว่า “ในเมื่อท่านกลัวมนุษย์ ข้าจะไม่ขอพึ่งท่าน ไม่ขออาศัยอยู่กับท่านแล้ว ข้าขอไปอยู่กับมนุษย์จะดีกว่า”  

เรื่องนี้เป็นที่มาว่าเหตุใดสุนัขจึงมาอาศัยอยู่กับมนุษย์ และเป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์

เหตุใดชาวลีซูจึงให้สุนัขกินข้าวใหม่ก่อน

เล่าโดย อะคูเมอะ แซ่ย่าง และ อะซาผะ สีมี่ 

นานมาแล้ว มีครอบครัวอยู่ครอบครัวหนึ่ง มีแม่กับลูกชายเล็กๆ เลี้ยงสุนัขไว้หนึ่งตัว 

วันหนึ่งลูกชายอุจจาระรดกางเกง แม่ซึ่งนิสัยมักง่ายก็เอาข้าวเปลือกไปเช็คก้นเด็กแล้วละลายน้ำทิ้ง 

การกระทำเช่นนี้ถือเป็นบาปต่อเมล็ดข้าวเปลือก พระเจ้าจึงลงโทษแม่เด็กที่ไม่เห็นคุณค่าเมล็ดข้าว โดยเอาเมล็ดข้าวทั้งหมดกลับไป แม่ร้องไห้เพราะไม่มีข้าวกิน สุนัขก็ร้องไห้เพราะไม่มีข้าวกินเช่นกัน 

จากนั้นสุนัขจึงเร่งเดินทางไปพบพระเจ้าเพื่ออ้อนวอนขอข้าวกิน และขอเมล็ดข้าวเปลือกกลับบ้าน พระเจ้าให้ข้าวสุนัขกิน และให้ข้าวเปลือกติดมากับหางสุนัข 

ครั้นสุนัขมาถึงบ้าน แม่ผู้เป็นเจ้าของสุนัขก็นำข้าวมาปลูก และขยายพันธุ์ ชาวลีซูจึงมีข้าวกินจนถึงทุกวันนี้ 

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเทศกาลกินข้าวใหม่ ชาวลีซูจะนำข้าวใหม่ให้สุนัขกินก่อนเสมอ 

สามีเขลากับภรรยาฉลาด

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่ และสมคิด แซ่จู

นานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่ง มีสามีภรรยาและลูกๆ สามีเป็นคนเขลา ส่วนภรรยานั้นฉลาดและเจ้าเล่ห์ 

วันหนึ่งภรรยากล่าวกับสามีว่า “พ่ออยู่บ้านไปวันๆ แบบนี้ไม่ได้แล้วนะ ไปวางกับดักเก้ง ล่าสัตว์ป่าให้กินหน่อยสิ แม่อยากกินเนื้อ อยากกินอาหารป่าแล้ว” 

สามีถามภรรยาว่า “แล้วพ่อต้องทำอย่างไร” 

ภรรยาแนะนำว่า “ก็ทำอย่างที่เขาวางกับดักหมูป่าอย่างไรเล่า ตัดข้อที่มันงอๆมาทำกับดักสัตว์ป่า” 

สามีจึงหยิบมีดปลายแหลมออกจากบ้านเพื่อไปวางกับดักเก้งตามที่ภรรยาบอก ภรรยาเข้าใจว่าสามีของตนนั้นเข้าไปในป่าลึก จึงบอกกับลูกๆ ว่า “พ่อไปล่าสัตว์ป่า ไปดักเก้ง กลับมาคงหิวข้าว มาหุงข้าวเร็วลูก” 

พูดไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากหลังบ้าน ภรรยาจึงรีบไปดู พบว่าแทนที่สามีจะเข้าป่า กลับอยู่ที่หลังบ้านนั่นเอง มิหนำซ้ำ สามียังใช้มีดปลายแหลมเฉือนข้อเข่าของตนจนเลือดนอง 

ภรรยากล่าวกับสามีอย่างอ่อนใจว่า “พ่อเอ๋ย ทำไมถึงซื่อบื้ออย่างนี้” 

สามีถามว่า “แล้วพ่อต้องทำอย่างไรล่ะ”

ภรรยาอธิบายว่า “เข้าไปในป่า ไม่ใช่ที่นี่ ไปตัดไม้ไผ่ที่มีข้องอมาทำกับดักสัตว์ ไม่ใช่เฉือนเนื้อเข่าตัวเองแบบนี้” 

หลังจากนั้นสามวัน เมื่อแผลเริ่มหาย สามีก็เข้าป่าอีกครั้ง คราวนี้เขารู้วิธีวางกับดักสัตว์แล้ว ไม่นานก็มีเก้งมาติดกับหนึ่งตัว แต่สามีสงสารเก้งจึงปล่อยไป 

เมื่อถึงบ้าน ภรรยาถามว่าได้อะไรกลับมาบ้าง 

สามีตอบตามความจริงว่า “เฮ้อ ได้แค่เก้งตัวหนึ่ง แต่ปล่อยไปแล้ว สงสารมัน”  

ภรรยาโมโห จึงด่าสามีว่า “พ่อนี่มันโง่จริงๆ อันไหนแดงๆ อันนั้นคือเนื้อสัตว์ป่า อันไหนเขียวๆ คือผัก พ่อไม่รู้หรือ” 

วันรุ่งขึ้นสามีก็เข้าป่าอีก วันนี้พระธุดงค์มาติดกับดักสัตว์ของเขา สามีเข้าใจว่าเป็นสัตว์ป่าเพราะพระธุดงค์ห่มจีวรสีส้มอมน้ำตาลแดง คล้ายที่ภรรยาบอก จึงเอาไม้ทุบตี พระธุดงค์ร้องขอชีวิตด้วยความเจ็บปวด แต่สามีก็ไม่ฟัง เขาทุบต่อไปเรื่อยๆจนพระธุดงค์มรณภาพ

 จากนั้น สามีก็แบกพระธุดงค์กลับบ้าน 

เมื่อภรรยาเห็นศพพระธุดงค์ ก็โวยวาย “โอย นี่มันคนนะ ไม่ใช่เนื้อ”  

สามีตอบว่า “อ้าว ก็แม่บอกว่าแดงๆ คือเนื้อ เขียวๆ คือผักไง ก็นี่ไงเล่าเนื้อ” 

เมื่อภรรยาอธิบายจนสามีเข้าใจแล้ว ทั้งสองก็ช่วยกันวางแผนหาทางออก ในที่สุดก็ทำโลงขึ้นมา แล้วนำศพพระไปใส่ไว้ในโลง ตั้งไว้หลังประตูบ้าน 

วันเดียวกันนั้น มีพ่อค้าขายปลาทูสามคนเดินทางผ่านมา ขอพักค้างอ้างแรมที่บ้าน สามีภรรยาเอื้อเฟื้อที่พักให้ 

ผู้เป็นภรรยากำชับพ่อค้าปลาทูสามคนนั้นว่า “พวกท่านห้ามเปิดโลงนี้เด็ดขาดนะ เราเก็บทองไว้ในนั้น” พวกเขาให้สัญญา แต่พอตกดึก ชายทั้งสามกลับขโมยโลงศพออกไป แล้วทิ้งเข่งปลาทูทั้งหมดไว้ ชายทั้งสามเข้าใจว่าในโลงนั้นมีทองอยู่จริงๆ หากเอาไปขายคงได้เงินโข

 ผ่านไปสามวัน ชายสามคนจึงเปิดฝาโลง พบว่าในโลงมีศพพระธุดงค์ส่งกลิ่นเน่าฟุ้งกระจายไปทั่ว ทองก็ไม่ได้ แถมยังเสียปลาทูไปอีก 

ด้วยเหตุนี้ ชาวลีซูจึงรู้ถึงความฉลาดและความเจ้าเล่ห์ของผู้หญิง

เหตุใดเสือจึงเป็นมิตรกับควาย

เล่าโดย หลวง ตามี่ และ สมคิด แซ่จู

นานมาแล้ว มีเสือกับกระต่ายเป็นเพื่อนกัน อยู่มาวันหนึ่ง ทั้งคู่พากันออกไปวางกับดักสัตว์ เสร็จแล้วก็กลับมาที่พัก 

วันรุ่งขึ้น กระต่ายรีบออกไปดูกับดักก่อน มันพบว่ากับดักของตนนั้นมีอีกามาติดหนึ่งตัว ส่วนกับดักของเสือนั้นมีเก้งมาติดหนึ่งตัว ในระหว่างที่เสือยังมาไม่ถึง เจ้ากระต่ายได้สับเปลี่ยนสัตว์ของตนเองกับเสือ โดยเอาอีกาไปมัดไว้ที่กับดักของเสือ แล้วเอาเก้งมามัดไว้ที่กับดักของตน 

เมื่อเสือมาถึงก็เอาอีกาออกจากกับดัก 

แล้วกระต่ายก็ขอให้เสือช่วย “เพื่อน ข้าได้เก้งแต่เรายกเก้งไม่ไหว ช่วยแบกให้หน่อย เดี๋ยวจะแบ่งเนื้อให้” เสือจึงช่วยแบกเก้งให้กระต่าย 

เมื่อถึงที่พัก ทั้งสองเริ่มชำแหละเนื้อเก้งและแบ่งออกเป็นสองส่วน ระหว่างที่ชำแหละเนื้อเก้งอยู่นั้นกระต่ายก็ขอให้เสือไปตักน้ำที่ลำห้วย แล้วกระต่ายก็เริ่มวางแผนเจ้าเล่ห์อีก มันเอาก้อนหินก้อนใหญ่มาวางแทนที่เนื้อเก้ง แล้วทาเลือดเก้งจนทั่วก้อนหิน เพื่อตบตาเสือ 

เมื่อเสือกลับมา เสือก็ถามกระต่ายว่า “เพื่อนเอ๋ย เนื้อเก้งสองส่วนนี้ส่วนไหนเนื้อเยอะกว่าหรือ” กระต่ายก็ตอบไปว่า “ก็ลองยกดูสิ อันไหนหนักกว่า อันนั้นแหละมีเนื้อเยอะ” 

เสือยกทั้งสองส่วนเปรียบเทียบกัน แน่นอนว่า ส่วนที่แท้จริงแล้วเป็นก้อนหินนั้นหนักกว่า เสือจึงตัดสินใจเอาส่วนนั้นไป หลังจากนั้นต่างก็กลับบ้านเพื่อนำเนื้อไปปรุงอาหาร 

เนื้อเก้งที่กระต่ายได้ไปนั้น จะกินเท่าไรก็กินไม่หมด ส่วนเนื้อเก้งที่เสือได้ไปนั้น จะต้มอย่างไรก็ต้มไม่สุก กัดก็ไม่เข้า 

เสือจึงไปถามกระต่ายว่า “เพื่อน ทำไมเนื้อของข้าต้มเท่าไรก็ไม่สุกสักที” 

กระต่ายตอบว่า “เพื่อน เจ้าคงจะต้มไม่นาน คงจะตั้งไฟไม่ดี ลองตั้งไฟใหม่สิ เคี่ยวไปเลย” 

เสือปรึกษาว่า “แต่ตอนนี้ข้าหิวมากแล้ว ทำอย่างไรดี” 

กระต่ายแนะว่า “เจ้าก็เอาหางเจ้าไปย่างไฟกินอย่างเราสิ เราย่างหางเราเองกินไปแล้ว” 

เสือก็บอกไปว่า “แต่ข้าไม่กล้าตัดหางตัวเองน่ะสิ” 

กระต่ายเอ่ยขึ้นอีกว่า “มา เดี๋ยวข้าตัดให้” 

พูดไม่ทันขาดคำกระต่ายก็ตัดหางเสือ 

เสือร้อง “โอ๊ย! เจ็บๆๆ” 

กระต่ายโยนหางให้เสือพร้อมกล่าว “เอานี่! ไปย่างกินเองเลย”  

ต่อมา กระต่ายกับเสือก็คุยกันว่าจะต้องอพยพไปอยู่อื่น และจะต้องเกี่ยวหญ้าคาเพื่อสร้างที่พักใหม่ 

เมื่อเกี่ยวหญ้าคาเสร็จ กระต่ายก็กล่าวว่า “เราแบกหญ้าคาไม่ไหว” 

แล้วเสือก็ช่วยกระต่ายแบกหญ้าคาเช่นเคย 

ระหว่างที่เสือแบกหญ้าคาอยู่นั้นกระต่ายก็เอาไม้ขีดไฟจุดหญ้าคา เมื่อไฟไหม้หญ้าคา ตัวเสือก็ถูกไฟไหม้ไปด้วย เสือพยายามปัดหญ้าคาทิ้ง กระต่ายบอกเสือให้วิ่งขึ้นดอย เสือก็วิ่ง แต่วิ่งขึ้นไปเท่าไร ไฟก็ไม่ยอมดับ เสือจึงวิ่งต่อไปอีก 

เสือวิ่งไปจนพบกับม้า ม้าก็แนะนำเสือว่าให้ไปสนามหญ้าของม้า ปรากฏว่า ไฟก็ยังไม่ยอมดับ 

เสือจึงวิ่งไปเรื่อยๆ จนพบควาย ควายก็แนะนำให้ลงไปในหนองน้ำ ไปลุยขี้โคลน หลังจากนั้น ไฟบนหลังเสือจึงดับลง 

จากนิทานเรื่องนี้ ทำให้ชาวลีซูเชื่อกันว่าเสือกับควายเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เสือจะไม่ทำร้ายควายเพราะควายช่วยเหลือเสือมาก่อน

เหตุใดต้นไทรจึงมีรากอากาศ

เล่าโดย สมคิด  แซ่จู และ อะซาผะ สีมี่

นานมาแล้ว มีชายหนุ่มอยู่หกคน ห้าคนมีคาถาอาคม ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นเด็กกำพร้าและท่องคาถาไม่ได้ 

วันหนึ่ง ทั้งหกชวนกันเข้าป่าล่าสัตว์ ทันทีที่เดินทางถึงป่า ทุกคนก็เริ่มล่าสัตว์น้อยใหญ่ หลังจากล่าสัตว์ได้สองวัน เสบียงของชายหนุ่มกำพร้าใกล้หมด เขาขอแบ่งอาหารจากเพื่อนๆ แต่ก็ไม่มีใครยอมแบ่งให้ อีกทั้งยังไม่ให้นอนในที่เดียวกับพวกเขาด้วย ชายหนุ่มกำพร้าจึงตัดสินใจแยกกลับบ้าน 

ตะวันตกดินก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินทางถึงบ้าน เขาจึงอาศัยนอนที่ใต้ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง และกล่าวขออนุญาตต้นไทรใหญ่ก่อนจะหลับตาลงนอน

คืนนั้น ชายอีกห้าคน ก็อาศัยนอนใต้ต้นไทรอีกต้นหนึ่ง แต่พวกเขาไม่ได้ขออนุญาตต้นไทร เพราะคิดว่าคาถาอาคมที่ตนมีจะสามารถป้องกันภยันตรายต่างๆ ได้ 

ราวเที่ยงคืน กลุ่มผีที่อาศัยอยู่ในต้นไทรที่ชายหนุ่มห้าคนนอนอยู่ก็มาชักชวนผีที่อาศัยอยู่ในต้นไทรที่ชายหนุ่มกำพร้ามาขอนอน 

“ใต้ต้นไทรใหญ่ของพวกข้ามีกวางนอนอยู่ห้าตัว มากินด้วยกันไหม” 

กวางห้าตัวที่ว่านี้หมายถึงชายหนุ่มห้าคน

ผีต้นไทรต้นที่ชายหนุ่มกำพร้าอาศัยนอนตอบว่า “คืนนี้ข้าไปไม่ได้ดอก ข้ามีแขก” 

กลุ่มผีต้นไทรต้นหนึ่งถามว่า “ใครกันหรือ” 

ผีต้นไทรต้นที่ชายหนุ่มกำพร้าอาศัยนอนตอบว่า “คนนี้ไง เขามาขอนอนที่นี่ ไม่รู้ว่าจะนอนจริงหรือไม่ เขาถอดรองเท้าข้างหนึ่งแล้ว อีกข้างยังไม่ได้ถอด พวกเจ้ากินกวางกันไปเถิด ข้าไปไหนไม่ได้ ข้ามีแขก ข้าต้องอยู่ดูแลแขกของข้า” 

กลุ่มผีต้นไทรจึงกลับไปที่ต้นไทรของตน 

เวลาราวตีหนึ่ง กลุ่มผีต้นไทรเริ่มจะกินชายหนุ่มทั้งห้า แต่พยายามกินกี่ครั้งก็ไม่สำเร็จ พวกมันจึงพากันไปที่ต้นไทรที่ชายหนุ่มกำพร้านอน เพื่อปรึกษาผีต้นไทรต้นนั้น 

“พวกเรากินกวางห้าตัวนั้นไม่ได้ พวกมันมีมีด มีขวาน และมีคาถาอาคมด้วย” 

ผีต้นไทรที่ชายหนุ่มกำพร้ามาอาศัยนอนจึงแนะนำว่า “ก็ทำเสียงไก่ขัน ทำเสียงนกร้องสิ ” 

กลุ่มผีต้นไทรได้คำแนะนำแล้วก็กลับไปที่ต้นไทรของพวกตน คราวนี้พวกมันทำเสียงนก เมื่อชายทั้งห้าได้ยินเสียงนกก็เข้าใจว่ามีนกให้ยิงแล้ว จึงหยุดท่องคาถาอาคม กลุ่มผีต้นไทรจึงกินชายทั้งห้าสำเร็จ 

รุ่งเช้าจึงมีเศษเนื้อมนุษย์ ห้อยอยู่ตามกิ่งไทรเต็มไปหมด 

นิทานเรื่องนี้นอกจากจะเป็นการสอนว่าเมื่อใดที่ไปนอนค้างอ้างแรมในป่า ต้องเคารพสถานที่ เคารพป่าเขา และควรไหว้ขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาเสมอ ยังเชื่อกันว่าเศษเนื้อมนุษย์ตามตำนานเรื่องนี้ได้กลายมาเป็นรากอากาศของต้นไทร

การตั้งชื่อเด็กแรกเกิด

เล่าโดย สมคิด  แซ่จู

นานมาแล้ว หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กทารกเพิ่งคลอด กลุ่มผีที่อาศัยอยู่ในสุสานจึงชักชวนกันไปเยี่ยม 

ผีสุสานตนหนึ่งเอ่ยว่า “ตอนนี้มีเด็กเพิ่งคลอดที่หมู่บ้านนั้น เราไปร่วมงานวันเกิด ร่วมตั้งชื่อเด็กกันเถิด” 

ผีสุสานตนหนึ่งตอบว่า  “คืนนี้ข้ามีแขก ข้าไปไม่ได้ พวกเจ้าไปกันเถอะ” 

กลุ่มผีสุสานทั้งหมดจึงไปหาเด็กแรกเกิดที่หมู่บ้าน เว้นแต่ผีตนที่ไปไม่ได้ตนเดียว เพียงครู่เดียว กลุ่มผีสุสานก็กลับมา

ทันทีที่เห็นกลุ่มผีสุสานกลับมา ผีสุสานที่ไม่ได้ไปด้วยก็ถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง” 

กลุ่มผีสุสานตอบพร้อมถอนใจว่า “เฮ้อ พวกเราไปสาย เสือโคร่งตั้งชื่อเด็กไปแล้ว” 

ผีสุสานถามอีกว่า “แล้วเสือมันนัดรับเด็กไว้เมื่อไร” 

กลุ่มผีสุสานตอบว่า เสือมันนัดรับเด็กช่วงที่เด็กสามารถเจาะรางใส่อาหารหมูได้” 

เวลาผ่านไป เด็กที่เกิดในวันนั้นก็เติบใหญ่เป็นเด็กหนุ่ม วันหนึ่งพ่อของเขาพาลูกไปตัดท่อนไม้เพื่อทำรางอาหารหมู ระหว่างที่ลูกชายกำลังไสไม้ทำรางอาหารหมูนั้น ก็ปรากฏเสือตัวหนึ่งมาด้อมๆ มองๆ หมายจะกินเด็กหนุ่ม 

เสือพยายามจะกระโจนกัดเด็กหนุ่มหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้จังหวะ เมื่อพ่อของเด็กหนุ่มเห็นว่าเสือจ้องจะกินลูกชายตน จึงหันปากกระบอกปืนในมือไปยังเสือตัวนั้น เขายิงถูกจุดสำคัญของเสือ เสือตายทันที 

จากนั้น พ่อก็ให้ลูกชายขึ้นคร่อมศพเสือ 

เขาบอกลูกว่า “ลูกอายุยืนแล้ว” 

ทันทีที่พูดจบ เด็กหนุ่มก็ลูบคลำตัวเสือ แต่ทว่าพลาด หนวดเสือบาดนิ้วมือ ทำให้เด็กหนุ่มเสียชีวิตทันที

ตำนานนี้เกี่ยวข้องกับพิธีกรรมตั้งชื่อเด็กแรกเกิด เรียกว่าพิธี  ฉาจัวเดื๋อ พิธีกรรมควรจัดขึ้นภายในสามวันหรือเจ็ดวันหลังคลอด ชาวลีซูเชื่อว่าหากไม่รีบทำพิธีกรรมดังกล่าว เสือจะชิงตั้งชื่อเด็กเสียก่อน และเด็กจะจบชีวิตดังเช่นตำนานนี้ 

มีความเชื่ออีกว่า หากไม่สามารถทำพิธีกรรม “ฉาจัวเดื๋่อ” ภายในช่วงเวลาที่กำหนดได้ ครอบครัวของเด็กแรกเกิดจะต้องนำเขม่าก้นหม้อมาทาหน้าผากของเด็กเพื่อเป็นเครื่องหมายไม่ให้สัตว์และวิญญาณร้ายเข้าถึงตัวเด็กได้ 

สมบัติผู้ตาย

เล่าโดย นารีมะ แมวป่า

นานมาแล้ว มีหญิงคนหนึ่งนามว่าซามาถุมา นางเป็นหญิงโสด และมีนิสัยตระหนี่ เมื่อนางเสียชีวิตลง ญาติๆ ก็มาช่วยกันประกอบพิธีศพตามธรรมเนียม 

ญาติรุ่นหลานของซามาถุมาคนหนึ่งไปขอให้ชายในหมู่บ้านที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับซามาถุมามาช่วยแบกศพ ชายผู้นี้ก็ช่วยแบกศพไปฝังตามคำขอ 

ระหว่างนั้น เจ้าภาพงานศพซึ่งเป็นหลานของซามาถุมาอีกคนหนึ่งได้มอบเงินแถบของผู้ตายให้กับชายผู้นี้ 

“อาครับ อารับเงินแถบไว้หนึ่งเหรียญนะครับ ถือเป็นสินน้ำใจ” 

ด้วยความที่เงินแถบนั้นมีขนาดใหญ่ทำให้แบกศพไม่สะดวก ชายผู้นี้จึงนำเงินแถบไปหยอดไว้ในกระบอกไม้ไผ่ 

หลังพิธีศพ ชายคนดังกล่าวก็กลับบ้านพร้อมกับกระบอกไม้ไผ่ที่ตนหยอดเงินแถบไว้ พอตกกลางคืน เขาได้ยินเสียงเงินแถบกลิ้งไปมาภายในกระบอกไม้ไผ่ เสียงดังติดต่อกันสามคืนจนนอนไม่หลับ 

เช้าวันที่สาม เขาจึงนำเงินแถบไปคืนเจ้าภาพงานศพซึ่งเป็นหลานของซามาถุมา ญาติซามาถุมาจึงใส่เงินแถบกลับไปในโอ่งที่ฝังไว้ใกล้กับศพของซามาถุมา 

ผ่านไปเดือนหนึ่ง มีชายคนหนึ่งมาหาเขาที่บ้าน 

เพื่อถามว่า “บอกทีว่าฝังซามาถุมาไว้ที่ไหน ข้าจะไปขุดเงินแถบ” 

ชายที่ช่วยฝังศพซามาถุมาปรามว่า “อย่าเลย ขนาดญาติเขาให้ข้ามาเหรียญเดียว เขายังมาทวงคืนเลย มาทวงสามคืนติดๆ กันเลยนา เงินแถบกลิ้งไปกลิ้งมาในกระบอกไม้ไผ่ทุกคืนจนข้านอนไม่หลับ” 

ชายโลภมากกล่าวว่า “ข้าไม่กลัว” 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายที่ช่วยฝังศพซามาถุมาจึงบอกที่ฝังศพไป 

ชายโลภมากเริ่มขุดหาโอ่งใส่เงินแถบ ขุดเท่าไรก็ไม่เจอเสียที ปรากฏว่าญาติของซามาถุมาได้ย้ายโอ่งเงินแถบไปฝังอีกฝั่งหนึ่ง ชายโลภมากเริ่มขุดดินอีกฝั่งจนพบโอ่งใบใหญ่บรรจุเงินแถบไว้จำนวนมาก 

ขณะที่ชายโลภมากพยายามขุดโอ่งขึ้นมาจากดินนั้นเอง ยิ่งขุด โอ่งก็ยิ่งจมดินลึกลงไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ญาติของซามาถุมา ฝังโอ่งใส่เงินแถบไว้ไม่ลึกนัก แต่ในที่สุดชายโลภมากก็ขุดโอ่งขึ้นมาจนได้ เขานำโอ่งใส่เงินแถบของซามาถุมากลับบ้านของตนดังที่ตั้งใจ

ต่อมาไม่นาน ลูกสาวของชายโลภมากก็เสียชีวิตไปทีละคนๆ พี่สาวของเขาก็เจ็บป่วยเรื้อรัง เชื่อกันว่าเหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดแก่ครอบครัวชายโลภมากเป็นเพราะเขาลักสมบัติคนตายมาเป็นของตน ทั้งยังไม่ยอมนำสมบัติไปคืน จึงเกิดเหตุร้ายต่อเนื่อง

พี่น้องกำพร้ากับฝูงลิง

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่

นานมาแล้ว มีพี่น้องสองคนกำพร้าพ่อและแม่ เมื่อผู้เป็นพี่แต่งงานก็รับเมียเข้ามาอยู่ในบ้าน พี่ชายและพี่สะใภ้มักเอาเปรียบน้องชาย ไม่ให้น้องชายกินข้าว น้องชายจึงต้องเก็บถั่วแขกในไร่กินประทังชีวิต 

วันหนึ่งน้องชายกินถั่วแขกจนแน่นท้องจึงไปนอนพักในกระท่อม สักพัก มีลิงฝูงหนึ่งผ่านมาเห็นน้องชายนอนหลับอยู่ 

ลิงตัวหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “นี่ มีคนตายอยู่ตรงนี้คนหนึ่ง” 

ลิงทั้งฝูงช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรกับศพ สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าควรจะมัดศพแล้วยกออกไปจากกระท่อม ระหว่างที่มัดศพอยู่นั้น ก็มีลิงอีกตัวเข้าไปดมกลิ่นบริเวณจมูกของน้องชาย ขณะที่ลิงก้มดมกลิ่นอยู่ น้องชายก็เรอออกมา 

ลิงตัวนั้นกล่าวขึ้นมาว่า “เน่าแล้ว ศพนี้เน่าแล้ว” 

แล้วก็ก้มดมกลิ่นอีกครั้งหนึ่ง น้องชายก็เรอออกมาอีก 

ลิงตัวนั้นก็พูดอีกว่า “ศพพอง อืดแล้ว” 

จากนั้นฝูงลิงก็แบ่งหน้าที่กันไปตัดไม้ไผ่เพื่อทำเปล แล้วช่วยกันมัดศพกับเปลยกเข้าไปในถ้ำ 

ฝูงลิงประกอบพิธีสวดศพให้ชายหนุ่ม โดยเชิญหมอผีกระรอกแก้มแดงสองตัวมาเป็นผู้สวด 

เสียงสวดเป็นภาษากระรอกแก้มแดง “คูว์ แถ้ะ คูว์ แถ้ะ” และสวดต่อว่า “นูว์ ควา นูว์ จ่ะ” 

ลิงตัวหนึ่งไม่พอใจกับเสียงสวด และเห็นว่าเป็นหมอผีที่ไม่ได้เรื่อง มันตบแก้มหมอผีกระรอกแก้มแดงทั้งสองตัวอย่างเต็มแรง หมอผีกระรอกแก้มแดงทั้งสองตัวจึงวิ่งหนีไป 

จากนั้นฝูงลิงก็เรียกหมอผีกระรอกตัวใหญ่ชื่อ อ้ะ เบะ มา ก่า มานำพิธีแทน  

หมอผีกระรอกตัวใหญ่สวดเสียง “แกว๊ะ แกว๊ะ” 

ลิงตัวหนึ่งไม่พอใจเสียงสวด และเห็นว่าเป็นหมอผีที่ไม่ได้เรื่อง มันเขกหัวหมอผีกระรอกตัวใหญ่จนหัวโน หมอผีกระรอกตัวใหญ่จึงวิ่งหนีไป 

จากนั้นฝูงลิงก็เรียกหมอผีกระรอกอีกชนิดหนึ่งมานำพิธีสวด 

หมอผีกระรอกตัวนี้สวดเป็นเสียง แห เฉ ซึ คุว ถุว ม่า มึ มิว์ หลู จา มึ ” 

ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่หลับอยู่ก็ตื่นขึ้นและพูดว่า “ตั้ย!!!” (ซึ่งคล้ายกับคำว่า “จ๊ะเอ๋”)  

ฝูงลิงต่างขวัญกระเจิงวิ่งหนีไปหมด ชายหนุ่มลุกขึ้นมา มองเห็นแสงระยิบระยับภายในถ้ำ เขามองดูและพบว่าเป็นแสงจากถ้วยเงิน ถ้วยทอง เขาเก็บของมีค่าเหล่านี้ใส่ย่าม กลับบ้านไปหาพี่ชายและพี่สะใภ้ ทันทีที่พี่ชายเห็นน้องชายหิ้วสมบัติกลับมา ก็ถามว่า “ได้ของเหล่านี้มาจากไหนหรือน้องชาย” 

น้องชายถอนใจแล้วตอบว่า “เฮ้อ กำพร้าพ่อ กำพร้าแม่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็รังแก ไปป่า ไปลำห้วย ฝูงลิงแบกไปในป่า แบกไปในถ้ำ เลยได้ของเหล่านี้กลับมา”

ได้ฟังเช่นนั้น พี่ชายคิดจะทำตามอย่างน้องชายบ้าง เขาจึงไปที่สวน กินถั่วแขก แล้วนอนในกระท่อม ระหว่างที่นอนอยู่ ฝูงลิงก็ผ่านมาพบร่างของพี่ชาย และยกร่างเข้าไปในถ้ำ 

เมื่อถึงถ้ำ พี่ชายแอบลืมตา เขาเห็นแต่ฝูงลิงและถ้ำมืดๆ เขาตกใจกลัว ลุกขึ้นวิ่งหนี แต่กลับตกลงไปในปากถ้ำสาขา  

ในถ้ำสาขานั้นมีแม่เสือเพิ่งคลอดอาศัยอยู่ แม่เสือจะพุ่งเข้ากัดกินพี่ชาย แต่เขาร้องขอว่า “อย่าเพิ่งกินข้าเลย ข้ายังไม่อ้วนพอ” แม่เสือปฏิเสธ “ข้าต้องกัด ข้าต้องกิน”  พี่ชายร้องขอชีวิตอีกครั้ง แม่เสือจึงหยุด

พี่ชายสร้างรั้วล้อมตัวเองไว้ด้วยหอกปลายแหลม เมื่อสร้างรั้วเสร็จ เขาก็เอ่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าเสือเข้ามากินข้าได้แล้ว” แม่เสือกระโจนใส่พี่ชายหมายจะกัดกิน แต่กลับถูกปลายหอกที่ทำเป็นรั้วแทงจุดสำคัญจนตายไป 

พี่ชายเดินทางกลับบ้าน เขาเล่าเหตุการณ์ให้น้องชายฟังว่าแทบเอาชีวิตไม่รอดจากเงื้อมมือแม่เสือ ทั้งยังบอกกับน้องชายว่า “ไม่เอาแล้ว ต่อจากนี้ไปพี่จะไม่รังแกน้อง จะไม่เอาเปรียบน้องอีกแล้ว”

พ่อตากับลูกเขย

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่

นานมาแล้ว มีพ่อตากับลูกเขยอยู่คู่หนึ่ง เขาปลูกข้าวโพดและเก็บไว้ในยุ้งฉางที่สวน วันหนึ่งเกิดปัญหาขึ้น 

พ่อตาเอ่ยกับลูกเขยว่า “เขยเอ๋ย มัวอยู่กับบ้านแบบนี้ไม่ได้แล้ว ไม่ไหวแล้ว”

ลูกเขยจึงถามว่า “มีอะไรหรือครับพ่อ”

พ่อตาตอบว่า “ฝูงลิงมากินข้าวโพดในยุ้งฉางของเราใกล้จะหมดแล้ว พรุ่งนี้ตื่นเช้าๆ ลับมีดให้คม เราจะไปล้อมรั้วสวนเรา กันลิงเข้ามากินข้าวโพด”

วันรุ่งขึ้น ลูกเขยเตรียมมีดตามที่พ่อตาสั่งแล้วก็ออกเดินพร้อมกับพ่อตา 

ระหว่างทาง พ่อตากำชับว่า “ถึงสวนแล้วฉันทำอะไรก็ให้ทำตามนะ อย่าเถียงเด็ดขาด”

เมื่อเดินทางไปถึงสวน ทั้งสองช่วยกันตัดไม้ไผ่มาเหลา ระหว่างที่เหลาไม้ไผ่อยู่นั้น เศษไม้ไผ่กระเด็นเข้าดวงตาของพ่อตา พ่อตาจึงเดินไปหาลูกเขย และเปิดเปลือกตาหมายให้ลูกเขยเป่าเศษไม้ไผ่ออกจากตา แต่ลูกเขยระลึกถึงคำของพ่อตาที่กำชับไว้ว่าต้องเป็นฝ่ายทำตามพ่อตาเท่านั้นจึงนิ่งเสีย 

พ่อตาสบถว่า “ถุย” พร้อมถ่มน้ำลาย

ลูกเขยก็สบถกลับว่า “ถุย” พร้อมถ่มน้ำลายใส่พ่อตา ตามที่พ่อตาทำ 

พ่อตารำคาญจึงบอกลูกเขยให้เดินกลับบ้านพร้อมกัน

เมื่อถึงบ้าน พ่อตาถามลูกเขยว่า “ให้ช่วยเอาเศษไม้ไผ่ออกจากตาให้หน่อย แล้วมาถุยใส่ทำไม ทำตามฉันทำไม”

ลูกเขยตอบว่า “ก็พ่อสั่งว่าให้ทำตามพ่อทุกอย่าง ข้าก็ทำตามทุกอย่าง จะเถียงได้อย่างไร พ่อตาทั้งคน”

คนเจ้าเล่ห์

เล่าโดย หลวง ตามี่ 

นานมาแล้ว มีชายหนุ่มสองคน ชื่อนายต๊ะ หยี่ ซึผะ และนายขว่า ตา ซาผะ วันหนึ่งทั้งสองช่วยกันวางแผนขโมยควาย นายขว่า ตา ซาผะคิดว่านายต๊ะ หยี่ ซึผะไม่ฉลาดเหมือนตน จึงให้นายต๊ะ หยี่ ซึผะเฝ้าควายที่มัดไว้กับตอไม้ ขณะที่นายขว่า ตา ซาผะดูต้นทาง ทั้งสองตกลงกันว่า หากเจ้าของควายกลับมา นายขว่า ตา ซาผะจะส่งสัญญาณด้วยการตีกองหญ้า

แท้จริงแล้วนายขว่า ตา ซาผะมีแผนการไม่ซื่ออยู่ เขาคิดจะแกล้งตีกองหญ้าทั้งๆ ที่เจ้าของควายยังไม่กลับมา หมายจะให้นาย ต๊ะ หยี่ ซึผะวิ่งหนีไปตัวเปล่า แล้วตนจะได้ได้ควายไปผู้เดียว

ครั้นถึงเวลา นายต๊ะ หยี่ ซึผะได้ยินเสียงตีกองหญ้า เขากลับไม่ทิ้งควายไว้อย่างที่นายขว่า ตา ซาผะวางอุบายไว้ นายต๊ะ หยี่ ซึผะอุ้มควายวิ่งหนีไปยังบ้านของตน และชำแหละเนื้อควายมาทำอาหารกินอย่างเอร็ดอร่อย 

เพื่อแก้เผ็ดนายขว่า ตา ซาผะชายเจ้าเล่ห์ นายต๊ะ หยี่ ซึผะจึงเก็บเพียงเศษเนื้อควายเหลือๆ ใส่ชามไว้ให้

เด็กกำพร้ากับเมล็ดฟักทอง

เล่าโดย สมคิด  แซ่จู 

นานมาแล้ว มีเด็กชายกำพร้าคนหนึ่งอาศัยอยู่กับครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวนี้มีพ่อ แม่ และลูกชายหนึ่งคน วันหนึ่งพ่อกับแม่สั่งให้เด็กกำพร้าและลูกชายของตนนำเมล็ดฟักทองไปหว่าน โดยกำชับว่าหากเมล็ดฟักทองไม่งอกก็ไม่ต้องกลับบ้าน 

พ่อกับแม่นำเมล็ดฟักทองที่ยังไม่ได้คั่วให้กับลูกชายของตน และนำเมล็ดฟักทองที่คั่วแล้วให้กับเด็กชายกำพร้า เด็กทั้งสองเดินไปยังไร่พร้อมกัน ระหว่างทาง เด็กชายซึ่งเป็นลูกของสามีภรรยาได้กลิ่นหอมจากเมล็ดฟักทองของเด็กชายกำพร้า จึงขอแลก เด็กชายกำพร้าก็ยอมแลกตามคำขอ

หลังจากเด็กทั้งสองคนหว่านเมล็ดฟักทองลงดินแล้ว ก็ปรากฏว่าเมล็ดฟักทองของเด็กชายกำพร้างอก ส่วนเมล็ดฟักทองของลูกแท้ๆนั้นไม่งอก เด็กชายจึงไม่ได้กลับบ้าน มีแต่เด็กกำพร้าได้กลับบ้านเพียงคนเดียว

กระต่ายเจ้าเล่ห์

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่ 

นานมาแล้ว มีกระต่ายฉลาดเจ้าเล่ห์อยู่ตัวหนึ่ง และพญานาคเบาปัญญาอยู่ตัวหนึ่ง

วันหนึ่งกระต่ายเอ่ยถามพญานาคว่า  “พญานาค ท่านทำอะไรอยู่หรือ ท่านได้ไปที่บ่อน้ำพญานาคหรือยัง” 

พญานาคตอบว่า “ข้ายังไม่เคยเห็นบ่อน้ำพญานาคเลย” 

กระต่ายย้ำ “ข้าเห็นบ่อน้ำพญานาค น้ำสีเขียวใส น่าเล่นเชียว” 

พญานาคจึงถามว่า “บ่อน้ำพญานาคที่ว่าอยู่ตรงไหน พาข้าไปทีสิ” 

กระต่ายตอบว่า “ได้สิ แต่พญานาคเอ๋ย ข้าเดินไม่ไหว ขอขี่หลังท่านได้ไหม” 

กระต่ายต่อรองว่า “ขอข้าขี่หลังหน่อยเถิด ข้าเดินไม่ไหว แล้วข้าจะพาท่านไปเที่ยวชมบ่อน้ำพญานาค”

พญานาคตกลง “มาเลย มาขี่หลังข้า” 

ว่าแล้วกระต่ายก็กระโดดขึ้นขี่พญานาค พญานาคพากระต่ายไปตามยอดดอย เที่ยวดูจนทั่วก็ไม่พบบ่อน้ำพญานาค 

พญานาคจึงเอ่ยถามกระต่ายว่า “บ่อน้ำที่ว่า อยู่ที่ไหนหรือ” 

กระต่ายแก้เกี้ยวว่า “ท่านรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ข้าจะออกเดินหาแถวๆ นี้ ข้าลืมไปแล้วว่าบ่อน้ำพญานาคอยู่ตรงไหน” 

เมื่อได้ขี่หลังพญานาคสมใจแล้ว กระต่ายจึงคิดหาทางหลบหนี มันไปแอบอยู่ใต้พุ่มไม้ แต่พญานาคก็ยังตามไปพบ พญานาคโมโหที่กระต่ายหลอกให้ขี่หลังตั้งนาน 

เมื่อพบกระต่ายจึงจับกระต่ายมาอมไว้ในปาก แล้วกล่าวว่า “ท่านลวงข้า หลอกขี่หลังข้า ข้าจะลงโทษท่านให้เข็ดหลาบ” 

กระต่ายโต้ว่า “หากท่านลงโทษข้าอย่างนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นบ่อน้ำพญานาค แต่หากท่านอ้าปากท่านก็จะได้เห็น” 

พญานาคหลงเชื่อ จึงอ้าปาก เมื่อกระต่ายสบโอกาสก็วิ่งออกจากปากพญานาค หนีหายไป พญานาคไล่จับกระต่ายไม่ทัน และเมื่อกระต่ายพ้นสายตาไปแล้วก็ยังตามหาด้วยความโกรธแค้น ครั้นหาอย่างไรก็ไม่พบ พญานาคจึงตั้งจิตว่า “หากพบกระต่ายเมื่อใด จะกัดกินให้ตายไปเสีย”  

พญานาคซ่อนอยู่บริเวณกระท่อมหลังหนึ่งเพื่อดักรอกระต่าย 

กระต่ายผ่านมาใกล้กระท่อม มันเปล่งเสียงว่า  “กระท่อมเอ๋ย กระท่อมเอ๋ย กระท่อมเอ๋ย” กระต่ายผิดสังเกตจึงรำพึงว่า “ต้องมีอะไรอยู่แถวๆ กระท่อมแน่ๆ” 

ทันใดนั้นก็มีเสียงขานรับออกมาว่า “อะไรหรือ” 

กระต่ายจำเสียงพญานาคได้ มันจึงวิ่งหนีไปอีก พญานาคไล่จับไม่ทันเช่นเคย 

คราวนี้พญานาคตัดสินใจไปดักซุ่มรอบริเวณลำห้วย 

กระต่ายมาถึงลำห้วย ก็เปล่งเสียงออกมาว่า “ลำห้วยเอ๋ย ลำห้วยเอ๋ย ลำห้วยเอ๋ย” 

กระต่ายผิดสังเกตจึงรำพึงว่า “ลำห้วยนี้ต้องมีอะไรสักอย่างแน่ๆ” 

ทันใดนั้นพญานาคก็ตอบรับอีกว่า “อะไร” 

กระต่ายจึงวิ่งหนีไป และพญานาคก็ไล่จับไม่ทันเช่นทุกครั้ง 

กระต่ายวิ่งเข้าไปในสวนผักกาด ช่วงนั้นดอกผักกาดเบ่งบานเป็นสีเหลืองพร้อมจะร่วงลงดิน เมื่อวิ่งฝ่าดงดอกผักกาดออกมา ตัวกระต่ายจึงเป็นสีเหลือง พญานาคมาเห็นพอดี 

พญานาคจึงพูดว่า “เจอตัวแล้ว ท่านต้องตายแน่แล้ว” 

กระต่ายกลับแย้งว่า “ท่านจะทำอะไรข้า ข้าไปทำอะไรให้ท่านเมื่อไร”

พญานาคว่า “ท่านมาหลอกขี่หลังข้าทำไม” 

กระต่ายว่า “ไม่ใช่ข้านะ ข้าไม่เกี่ยว ไม่รู้เรื่องสักนิด” 

พญานาคยืนยัน “ท่านนั่นแหละ เป็นท่านแน่” 

กระต่ายก็ยืนยันเช่นกัน “ไม่ใช่ข้าแน่ ไหนท่านลองบอกมาสิว่ากระต่ายตัวนั้นมีลักษณะอย่างไร” 

พญานาคอธิบายลักษณะกระต่ายว่า “ตัวสีขาว หูยาวๆ” 

กระต่ายสวนขึ้นทันทีว่า “เห็นไหม ท่านดูตัวข้าสิ ตัวข้าสีเหลือง ข้าไม่ใช่กระต่ายตัวที่ขี่หลังท่าน” 

พญานาคหยุดคิด แล้วปล่อยกระต่ายไป 

ต่อมาพญานาคหลบอยู่ใต้สะพานเพื่อซุ่มรอกระต่าย 

เมื่อกระต่ายผ่านมาที่สะพานก็เอ่ยว่า “สะพานเอ๋ย สะพานเอ๋ย สะพานเอ๋ย”

แต่ครั้งนี้พญานาคไหวตัวทันจึงไม่ขานรับ ได้แต่ดักรอเงียบๆ แล้วพญานาคก็จับกระต่ายได้ พญานาคอมกระต่ายไว้ในปากเช่นครั้งแรก 

ระหว่างที่พญานาคอมกระต่ายอยู่ในปากนั้น กระต่ายก็พูดด้วยน้ำเสียงดีใจว่า “อยู่ในนี้ช่างอุ่นดีเสียจริง”

พญานาคได้ยินก็เผลออ้าปากออก กระต่ายจึงกระโดดหนีออกจากปากพญานาค แล้วพญานาคก็ไล่จับกระต่ายไม่ได้อีกเลย 

เมื่อกระต่ายหนีจากพญานาคได้แล้ว กระต่ายเจอกับเสือ 

มันออกอุบายหลอกเสือโดยเรียก “เสือ เสือ เสือ” 

และชวนเสือว่า “เราไปเก็บผลมะกอก กินกันไหม” 

เสือตกลง ทั้งสองจึงพากันไปเก็บผลมะกอก 

เมื่อไปถึงต้นมะกอกเสือและกระต่ายก็ช่วยกันเก็บผลมะกอกมากองไว้ 

เสือถามกระต่ายว่า “เอาล่ะ ทีนี้จะทำอย่างไรกับผลไม้นี้ดี” 

กระต่ายแนะว่า “เอาฝังกลบดินสิ ฝังไว้รอบๆกองไฟ” 

เสือทำตาม แล้วก็ถามต่อว่า “ฝังกลบดินเสร็จแล้วทำอย่างไรต่อ” 

กระต่ายว่า “เดี๋ยวข้าจะบอกเองว่าจะทำอย่างไรต่อไป” 

กระต่ายถอยออกมาจากรอบกองไฟ มันสังเกตเห็นว่าดวงตาเสือแดงก่ำ กระต่ายร่ายมนต์คาถาสามครั้งให้ผลมะกอกที่ฝังอยู่รอบกองไฟระเบิดออกมา สักครู่ผลมะกอกที่ฝังกลบดินไว้นั้นก็ระเบิดเสียงดังตูม แรงระเบิดทำให้ตาเสือบอดสนิททั้งสองข้าง 

เสือร้องขอให้กระต่ายช่วย “กระต่ายเอ๋ย ตอนนี้ตาข้าบอดเสียแล้ว ช่วยหายาให้ข้าที” 

กระต่ายไปหาพระเจ้าเพื่อขอสูตรยาตามคำขอของเสือ 

พระเจ้าบอกสูตรยาว่า “นำเถาวัลย์สมุนไพร คืออ้า กือ จา ผสมกับน้ำนม หยอดใส่ลูกตาแล้วจะหาย” 

เมื่อได้สูตรยาแล้ว กระต่ายจึงกลับไปหาเสือ 

เสือรีบถามกระต่ายว่า “พระเจ้าว่าอย่างไรบ้าง” 

กระต่ายตอบเสือว่า “พระเจ้าบอกให้เอาพริกป่นผสมเกลือป่น แล้วหยอดใส่ตา” 

เสือเชื่อและทำตามที่กระต่ายบอก แล้วก็ต้องคำรามด้วยความเจ็บปวด กระต่ายสบโอกาสหนีไป 

เสือโกรธแค้นกระต่าย จึงเดินไปหลบใต้สะพาน ซุ่มรอกัดกระต่าย ระหว่างที่เสือดักรอกัดกระต่ายอยู่นั้น บังเอิญพบกับพระเจ้า 

เสือจึงถามพระเจ้าว่า “พระเจ้า เมื่อวันก่อนกระต่ายได้ขอสูตรยาจากท่านไหม แล้วท่านแนะนำไปว่าอย่างไรหรือ” 

พระเจ้าตอบว่า “ข้าบอกให้กระต่ายเอาเถาวัลย์สมุนไพร คืออ้า กือ จา ผสมกับน้ำนม หยอดใส่ลูกตาแล้วจะหาย” 

เสือบอกพระเจ้าว่า “แต่กระต่ายมันมาบอกให้ข้าเอาพริกป่นผสมเกลือป่นหยอดใส่ตา” 

ขณะนั้น กระต่ายก็แอบอยู่ใต้สะพานเช่นกัน มันได้ยินเสือสาปแช่งตนอย่างรุนแรงว่า “เก้าปี เกิดลูกหนึ่งครอก ขอให้กระต่ายกินลูกตัวเองทั้งครอกเถิด” 

ทันใดนั้น กระต่ายก็โผล่ออกมาจากที่ซ่อนและทักเสือว่า “จ๊ะเอ๋ เสือ” 

เสือตกใจ ร้องว่า “อะไร อะไรอีก” 

กระต่ายแช่งเสือว่า “เก้าปี เกิดลูกหนึ่งครอก ขอให้เจ้ากินลูกตัวเองทั้งครอกเถิด” 

ต่อมาเมื่อเสือคลอดลูก มันก็กินลูกตัวเองทั้งครอก

ความเขลาของพ่อ

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่  

นานมาแล้ว เด็กชายคนหนึ่งป่วย รักษาอย่างไรก็ไม่หาย สุดท้ายเด็กชายเสียชีวิต ชาวบ้านที่รู้ข่าวอาสามาช่วยทำศพ พ่อของเด็กหาเปลือกไผ่มาห่อศพลูกชาย แล้วพ่อจึงหิ้วศพลูกชายออกจากหมู่บ้านพร้อมกับชาวบ้านคนอื่นๆ

เนื่องจากเปลือกไผ่นั้นลื่น ระหว่างทางศพลูกชายก็หลุดออกจากเปลือกไผ่ที่ห่อไว้ ร่วงลงหน้ากระเดื่องตำข้าวที่บ้านหลังหนึ่ง พ่อของเด็กและชาวบ้านไม่รู้ เมื่อไปถึงหลุมฝังศพในป่าก็ฝังแต่เปลือกไผ่โดยไม่มีศพเด็ก จากนั้นจึงพากันกลับเข้าหมู่บ้าน 

ระหว่างทางกลับบ้าน เขาเห็นภรรยานั่งร้องไห้อยู่หน้ากระเดื่องตำข้าวของชาวบ้าน 

จึงเข้าไปปลอบใจภรรยาว่า “แม่ไม่ต้องร้องไห้นะ เห็นไหม ขนาดลูกของกระเดื่องตำข้าวยังตายได้เลย” 

เขายังไม่รู้ว่าศพเด็กที่อยู่หน้ากระเดื่องตำข้าวนั้นคือศพลูกชายเขาเอง เมื่อพิจารณาศพดีๆ เขาจึงรู้ว่าเป็นลูกชาย และขอแรงชาวบ้านให้ช่วยเขาฝังศพลูกชายอีกครั้ง

เด็กหญิงทอผ้าบนดวงจันทร์

เล่าโดย สมคิด  แซ่จู

นานมาแล้ว มีหญิงชราคนหนึ่งอยู่กับหลานชายและหลานสาว วันหนึ่งหญิงชราออกไปขุดดินและถางหญ้าในสวน แล้วนางก็เดินกลับบ้าน เมื่อถึงบ้าน หญิงชราสั่งหลานทั้งสองให้ไปไล่นกที่สวนในวันถัดไป

วันรุ่งขึ้น หลานชายและหลานสาวไปที่สวนตามคำย่าสั่ง 

เมื่อถึงสวน ทั้งสองก็ตะโกนโห่ไล่นก “ชิ่วๆ” 

และมีเสียงตอบกลับ “ชิ่วๆ” จากท้ายสวนซึ่งติดกับลำห้วยในป่า 

ทั้งสองตะโกนต่อไปว่า “วู้ๆ” ก็มีเสียงตอบกลับ “วู้ๆ” อีก 

สองพี่น้องกลับบ้านไปบอกย่า “ย่าครับ พวกเราสองคนตะโกนชิ่วๆ ก็มีเสียงตอบกลับชิ่วๆ จากท้ายสวน พอเราตะโกนวู้ๆ ก็มีเสียงตอบกลับวู้ๆ อีกครับ” 

หญิงชราตอบหลานว่า “ย่าไม่เชื่อหรอก หลานจะมาหลอกกินข้าวปุ๊กสองแผ่นของย่าล่ะสิไม่ว่า” แต่ย่าก็แบ่งข้าวปุ๊กให้หลานทั้งสองกินอยู่ดี

วันต่อมา สองพี่น้องเดินไปที่สวนเพื่อไล่นก และได้ยินเสียงเหมือนอย่างเมื่อวาน 

หลานทั้งสองจึงกลับบ้านมาบอกย่า “ย่าคะ มีเสียงตอบมาจากท้ายสวนเหมือนเมื่อวานอีกแล้วค่ะ” 

หญิงชราจึงถามหลานว่า “จริงหรือ เอาอย่างนี้ ย่าจะไปสวนเอง หลานสองคนอยู่บ้านก็แล้วกัน”

ครั้นรุ่งเช้า หญิงชราหยิบกระบุงกับเชือกเส้นยาวตรงไปที่สวน เมื่อไปถึงสวน หญิงชราก็โยนเชือกให้พาดไปถึงท้ายสวน

แล้วตะโกนออกไปว่า “ถ้ามาไม่ดีก็ไปเสีย ถ้ามาดีก็ให้ไต่เชือกขึ้นมา” 

ผีเบียะ ฉุมะ จึงไต่เชือกขึ้นมา ผีตนนี้มีผมยาว ทั้งยังมีนมใหญ่และยานจนพาดถึงบ่าได้ 

พอนางไต่เชือกมาถึงตัวหญิงชรา ผีเบียะ ฉุมะก็กล่าวกับหญิงชราว่า “ยายเอ๋ย เรามาหาเหาให้กันดีไหม” 

หญิงชราเป็นฝ่ายเริ่มหาเหาให้ผีเบียะ ฉุมะก่อน บนหัวของผีเบียะ ฉุมะมีเห็บตัวโตยุ่บยั่บไปหมด เมื่อหญิงชราหยิบเห็บออกมา ผีเบียะ ฉุมะก็จับกินหมด 

เมื่อหญิงชราเอาเห็บตัวโตออกจากหัวผีเบียะ ฉุมะหมดแล้ว ก็เป็นคราวของผีเบียะ ฉุมะหาเหาให้หญิงชราบ้าง ผีเบียะ ฉุมะแสร้งหาเหาให้หญิงชรา ที่แท้มันกัดกินหัวหญิงชราทีละน้อยๆ จนเลือดไหลลงมาถึงบ่า 

หญิงชราจึงถามว่า “เบียะ ฉุมะ ทำไมจึงมีเลือดไหลมาที่บ่าของข้าเล่า” 

ผีเบียะ ฉุมะตอบว่า “อ๋อ นั่นน้ำหมากข้าเอง” 

สักครู่ นายพรานกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา 

นายพรานคนหนึ่งตะโกนทักว่า “ยายเอ๋ย ท่านโดนผีเบียะ ฉุมะแทะหัวกินจวนจะหมดแล้ว” 

ทันทีที่สิ้นเสียงนายพราน ผีเบียะ ฉุมะก็กินหญิงชราจนหมดตัว 

จากนั้น ผีเบียะ ฉุมะก็สวมเสื้อผ้าของหญิงชรา แบกกระบุงของนาง แล้วมุ่งไปยังบ้านหญิงชรา 

เมื่อไปถึงบ้านก็เคาะประตู 

หลานทั้งสองคนถามว่า “นั่นใคร” 

ผีเบียะ ฉุมะตอบกลับไปว่า “ย่าเอง” 

เมื่อหลานทั้งสองเปิดประตูก็พบหญิงชราแปลกหน้า รูปร่างประหลาด หลานทั้งสองจึงบอกไปว่า “เจ้าไม่ใช่ย่าของพวกเรา ย่าของพวกเราไม่ได้หน้าตาแบบนี้” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงถามว่า “แล้วย่าของพวกเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไรหรือ” 

หลานทั้งสองตอบว่า “ย่าของพวกเราผมไม่ยาวขนาดนี้ นมย่าไม่ใหญ่และยานขนาดนี้ด้วย” 

ผีเบียะ ฉุมะถามว่า “แล้วเส้นผมและนมของย่าพวกเธอเป็นอย่างไรหรือ ยาวขนาดไหน” 

หลานทั้งสองตอบว่า “ผมย่าสั้น นมย่าก็เล็ก ไม่ยาน” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงเดินจากไป มันเอานมไปให้ปลากินจนเหลือนิดเดียว และตัดผมจนสั้น จากนั้นมันก็ย้อนกลับไปที่บ้านหญิงชราอีกครั้ง 

ผีเบียะ ฉุมะเคาะประตู แล้วพูดว่า “หลานเอ๋ย เปิดประตูหน่อย” 

หลานสาวตอบว่า “พวกหนูไม่เปิดให้ ท่านไม่ใช่ย่าของพวกเรา” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงถามต่อไปว่า “แล้วย่าของพวกเธอทำอย่างไรล่ะ” 

หลานสาวตอบว่า “เวลาย่ากลับบ้าน ย่าจะขนฟืนมาเต็มกระบุง และจะทำเสียง ‘หุ่ย’ ก่อน ถึงเรียกเราให้เปิดประตู” 

ผีเบียะ ฉุมะ จึงออกไปหาฟืนให้เต็มกระบุงแล้วแบกกลับมาที่บ้านของหญิงชรา เมื่อถึงบ้านก็วางกระบุงลงบนพื้น ส่งเสียงว่า “หุ่ย” 

แล้วจึงเรียกหลานให้เปิดประตู “หลานเอ๋ย เปิดประตูหน่อย” 

ครั้งนี้หลานสาวเปิดประตูให้ผีเบียะ ฉุมะเข้าบ้าน 

เมื่อได้เข้าบ้านแล้ว ผีเบียะ ฉุมะได้บอกกับหลานสาวว่า “หลานสาวเอ๋ย คืนนี้เตรียมน้ำสะอาดไว้ที่หัวนอนนะ เตรียมผลไม้ป่าไว้หัวเตียงและปลายเตียงด้วยนะ ส่วนหลานชาย คืนนี้อาบน้ำให้สะอาดนะ แล้วมานอนกับย่า หลานสาวไปนอนอีกฝั่งหนึ่งนะ” 

หลังจากเข้านอนกันไปได้สักพัก ผีเบียะ ฉุมะก็ตื่นขึ้นและเริ่มกัดคอหลานชายพร้อมดูดเลือดจนเสียงดัง “สู่วๆ” 

หลานสาวได้ยินเสียงจึงสะดุ้งตื่นและถามผีเบียะ ฉุมะว่า “ย่า ทำอะไรหรือจ๊ะ” 

ผีเบียะ ฉุมะตอบว่า “ย่าตื่นมากินน้ำเท่านั้นแหละ” 

หลานสาวคอยฟังเสียงต่อไป 

คราวนี้ ผีเบียะ ฉุมะได้เริ่มกัดกินเนื้อหลานชายจนดัง “กรึกๆ” 

หลานสาวจึงทักว่า “ย่ากินอะไรหรือจ๊ะ” 

ผีเบียะ ฉุมะตอบว่า “ย่าก็กินผลไม้ก่อนเช้ามืดไง” 

หลานสาวจึงว่า “ย่าจ๊ะ ขอหนูกินบ้างสิ” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงยื่นนิ้วโป้งของหลานชายให้หลานสาวกิน จากนั้นจึงไปนอนต่อ 

รุ่งเช้า หลานสาวตื่นขึ้นมาก่อไฟ หุงข้าว และกวาดบ้าน ขณะที่ทำงานบ้านอยู่นั้น ผีเบียะ ฉุมะตื่นขึ้นมาพอดี 

มันชี้ไปทางหนึ่ง และถามหลานสาวว่า “ย่าปวดท้องถ่าย ไปทางนั้นได้ไหม” 

หลานสาวตอบว่า “ไม่ได้จ้ะ ตรงนั้นเป็นที่ทอผ้า” 

ผีเบียะ ฉุมะชี้ไปอีกทางหนึ่ง แล้วถามอีกว่า “แล้วไปทางนั้นได้ไหม” 

หลานสาวตอบว่า “ไม่ได้จ้ะ ตรงนั้นเป็นที่ตีมีด” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงถามว่า “แล้วจะให้ไปทางไหนล่ะ” 

หลานสาวนำเชือกม้วนใหญ่ออกมา เธอปล่อยม้วนเชือกให้กลิ้งไปเรื่อยๆ 

แล้วบอกผีเบียะ ฉุมะว่า “ตามเชือกเส้นนี้ไปจ้ะย่า เชือกกลิ้งไปถึงไหน ก็ไปถ่ายที่นั่น” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงตามเชือกเส้นนั้นไป หลานสาวได้โอกาสเข้าไปดูน้องชาย จึงรู้ว่าน้องชายตายแล้ว เหลือแต่เศษกระดูกกองเต็มพื้น 

หลานสาวหนีผีเบียะ ฉุมะขึ้นไปทอผ้าอยู่บนต้นไม้ ครั้นผีเบียะ ฉุมะถ่ายอุจจาระเสร็จ มันเดินกลับมาหาหลานสาว เมื่อเห็นหลานสาวทอผ้าอยู่บนต้นไม้ มันก็พยายามปีนต้นไม้ขึ้นไปหาหลานสาว แต่ปีนเท่าไรก็ปีนไม่ขึ้น 

ผีเบียะ ฉุมะถามหลานสาวว่า “หลานขึ้นต้นไม้ได้อย่างไร” 

หลานสาวบอกผีว่า “ย่าลองถ่มน้ำลาย สั่งน้ำมูก มาทาลำต้น แล้วจะปีนขึ้นมาได้จ้ะ” 

ผีเบียะ ฉุมะจึงทำตาม ปรากฏว่าปีนต้นไม้ได้จริง 

ขณะที่ผีเบียะ ฉุมะปีนต้นไม้ขึ้นไปจนใกล้จะถึงตัวหลานสาวนั้น หลานสาวก็ทักว่า “เดี๋ยวจ้ะย่า ย่าไปเอาหอกที่ปู่ทำไว้ได้ไหมจ๊ะ เผาไฟให้ร้อนๆ แล้วเอามากับย่าด้วยนะจ๊ะ” 

ผีเบียะ ฉุมะทำตามคำหลานสาวทุกอย่าง 

หลังจากผีเบียะ ฉุมะนำหอกของปู่ไปเผาไฟจนปลายหอกแดงแล้ว มันก็ถือหอกไปให้หลานสาว หลานสาวบอกกับผีเบียะ ฉุมะว่า “ย่าหลับตาและอ้าปากกว้างๆ ด้วยนะจ๊ะ แล้วค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนนี้” 

ผีเบียะ ฉุมะหลับตา อ้าปากกว้าง แล้วปีนต้นไม้ขึ้นไปหาหลานสาว ครั้นมันเกือบจะถึงตัวหลานสาว เธอก็คว้าหอกจากมือผีเบียะ ฉุมะ แล้วพุ่งหอก หมายให้เข้าปากผี แต่ก็เฉียดไป 

“นี่ เกือบจะโดนปากย่าแล้วไหมละ” ผีเบียะ ฉุมะบอกหลานสาว 

หลานสาวบอกผีเบียะ ฉุมะว่า “ย่าจ๊ะ เดี๋ยวย่าเอาหอกไปเผาไฟอีกรอบนะจ๊ะ” 

ผีเบียะ ฉุมะก็เอาหอกไปเผาอีกรอบจนปลายหอกแดง รอบนี้หลานสาวตั้งสติและเตรียมเล็งไว้อย่างดี 

เธอบอกผีเบียะ ฉุมะว่า “เอาล่ะ ย่าขึ้นมาได้เลยจ้ะ หลับตาและอ้าปากเหมือนเดิมด้วยนะ” 

ครั้นผีเบียะ ฉุมะหลับตา อ้าปากปีนขึ้นต้นไม้ไปจนเกือบถึงตัวหลานสาวนั้น หลานสาวก็คว้าหอกร้อนจากผีเบียะ ฉุมะ แล้วแทงเข้าปากผี เมื่อผีเบียะ ฉุมะร่วงลงพื้น พื้นดินบริเวณนั้นก็กลายเป็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ 

หลานสาวซึ่งอยู่บนต้นไม้ เมื่อเห็นบ่อน้ำขนาดใหญ่ก็รู้ว่าลงจากต้นไม้ไม่ได้แน่ 

จึงขอร้องกบว่า “กบเอ๋ย ช่วยดื่มน้ำบ่อนี้ให้หมดได้ไหม” 

เมื่อกบดื่มน้ำจนหมด กบก็ขอเข็มเล่มหนึ่งจากหลานสาว กบเอาเข็มแทงท้องตนเองจนน้ำออกมาเต็มบ่ออีก 

หลานสาวซึ่งบัดนี้เป็นเด็กหญิงไร้ญาติขาดมิตร จึงขอให้พระจันทร์ช่วย 

“พระจันทร์เจ้าขา พระจันทร์ช่วยดื่มน้ำในบ่อนี้ให้หมดได้ไหม” 

พระจันทร์ดื่มน้ำในบ่อจนหมด จากนั้นพระจันทร์ก็ถอนต้นไม้ซึ่งเด็กหญิงนั่งทอผ้าอยู่ ขึ้นไปบนดวงจันทร์ ตอนนี้เธอรู้สึกปลอดภัยจากผีเบียะ ฉุมะแล้ว จึงลงมานั่งทอผ้าที่ใต้ต้นไม้ 

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองดวงจันทร์เราจึงเห็นเด็กหญิงกำพร้านั่งทอผ้าอยู่ใต้ต้นไม้

แม่กับลูกลิง

เล่าโดย หลวง ตามี่

นานมาแล้ว มีลิงตัวหนึ่งได้เป็นสามีของหญิงสาว ลิงกับหญิงสาวมีลูกด้วยกันเป็นลิง หลังจากที่ลูกลิงเกิดได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของฝ่ายหญิงอยากไปเยี่ยมหลาน แต่หญิงสาวไม่อยากให้พ่อกับแม่เห็นว่าลูกเป็นลิง จึงซ่อนลูกไว้ในห้องนอน 

อยู่มาวันหนึ่ง หญิงสาวเป็นฝ่ายไปเยี่ยมพ่อกับแม่บ้าง 

ทั้งสองท่านก็ถามว่า “ไหนล่ะ หลานพ่อกับแม่” 

หญิงสาวตอบว่า “ข้าไม่ได้พาลูกมาจ้ะ ลูกข้าหลับอยู่” 

ระหว่างที่หญิงสาวเดินทางกลับบ้านของตน น้องชายซึ่งสงสัยพฤติกรรมพี่สาวก็แอบเดินตามหลังมาด้วย เมื่อกลับถึงบ้าน หญิงสาวเข้าไปหาลูกและอุ้มลูกออกมาเล่นหน้าบ้าน 

ระหว่างที่อุ้มลูกเล่นอยู่นั้น หญิงสาวก็พูดกับลูกว่า “อ้า หย่า มา กึ มู อา ปา มา กึ มู” (ไม่อยากให้ยายเห็น ไม่อยากให้ตาเห็น) 

ทันใดนั้น น้องชายที่แอบซุ่มอยู่ก็โผล่ออกมาและตะโกนว่า “ตั๊ย” (จ๊ะเอ๋) ใส่พี่สาวของเขา 

หญิงสาวตกใจ ทำลูกลิงหลุดจากมือจนตกหน้าผาตาย

พ่อเลี้ยงเป็นบุ้ง

เล่าโดย นารีมะ แมวป่า 

นานมาแล้ว มีหญิงหม้ายคนหนึ่ง นางมีลูกสาวซึ่งออกเรือนไปแล้วหนึ่งคน หลังจากลูกสาวออกเรือนไปแล้ว นางได้สมรสใหม่กับบุ้ง ลูกสาวรู้ว่าแม่แต่งงานใหม่ แต่ไม่รู้เลยว่าพ่อเลี้ยงเป็นบุ้ง ไม่ใช่มนุษย์

วันหนึ่ง ลูกสาวมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน วันนั้นบุ้งออกจากบ้านไปไถนาแต่เช้า ไม่ได้เตรียมข้าวปลาอาหารไปด้วย เมื่อถึงเวลาอาหารกลางวัน แม่จึงบอกกับลูกสาวว่า 

“พ่อเลี้ยงของลูกไปไถนาแต่เช้า คงหิวข้าวแล้ว รีบเอากับข้าวไปส่งให้พ่อเร็ว” 

ลูกสาวนำอาหารไปส่งให้พ่อเลี้ยงที่นา เมื่อไปถึงท้องนา ลูกสาวก็เรียกพ่อ 

“พ่อ พ่อ พ่อ”

บุ้งก็ตอบกลับด้วยเสียงบุ้งสามครั้งว่า “เจียะ เจียะ เจียะ” 

ลูกสาวรำคาญเสียงบุ้งจึงทุบบุ้งตัวนั้นจนตาย จากนั้นจึงกลับบ้านพร้อมอาหารที่ถือไป 

เมื่อถึงบ้าน แม่ถามลูกสาวว่า “ทำไมจึงเอาอาหารกลับมาเล่า” 

ลูกบอกแม่ว่า “แม่ หนูเรียกพ่อแล้วแต่ไม่เห็นพ่อเลย เรียกว่าพ่อก็ได้ยินแต่เสียงบุ้งตอบกลับมาว่า ‘เจียะ’ เรียกสามรอบก็ได้ยินแต่เสียง ‘เจียะ’ หนูจึงทุบบุ้งตัวนั้นตาย” 

แม่ตกใจและบอกว่า “นั่นมันพ่อเลี้ยงของเจ้านะ ไม่รู้หรือ เฮ้อ เอาอย่างนี้ รออยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวแม่จะไปดูพ่อ แล้วห้ามเปิดฝาหีบนี้เด็ดขาดนะ” 

หลังจากที่แม่ออกจากบ้านไป ลูกสาวสงสัยว่าอะไรอยู่ในหีบ จึงเปิดหีบดู และพบบุ้งอยู่ในนั้นหลายตัว ลูกสาวเอาน้ำเดือดราดใส่บุ้งในหีบทั้งหมดจนตาย 

ส่วนแม่ เมื่อเห็นซากสามีบุ้งที่ถูกลูกสาวทุบตายก็เดินร้องไห้กลับบ้าน ครั้นถึงบ้านก็พบว่าลูกบุ้งที่เลี้ยงไว้ถูกน้ำร้อนราดตายจนหมด นางยิ่งร้องไห้ไม่หยุด

ภรรยาฟื้นคืนชีพ

เล่าโดย นารีมะ แมวป่า

นานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีมีเหตุต้องเดินทางออกนอกหมู่บ้าน ระหว่างที่สามีอยู่นอกหมู่บ้านนั้นเองภรรยาก็เสียชีวิตโดยที่สามีไม่รู้ ชาวบ้านช่วยกันจัดงานศพ และฝังศพภรรยา แต่หลังจากฝังศพได้สามวัน ภรรยากลับฟื้นขึ้นมา นางกลับบ้านไปทำความสะอาด ขณะนั้นสามีได้กลับมาที่บ้านแล้ว นางจึงช่วยงานสามีด้วย สามีซึ่งไม่รู้ว่าภรรยาของตนเสียชีวิตไปแล้วก็มีความสุขอยู่กับภรรยาตามปกติ 

อยู่มาวันหนึ่ง สามีทักภรรยาว่า “บางวันเธอก็ดูเขียว บางวันเธอก็ดูสวย” 

ภรรยาไม่ตอบอะไร 

หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาที่เป็นผีได้ไม่นาน ชาวบ้านคนหนึ่งมาบอกกับสามีว่า “เมียเจ้าตายไปแล้ว เขาคืนชีพกลับมาหาเจ้า” 

สามีไม่เชื่อคำพูดของชาวบ้าน ทั้งยังตอบกลับไปว่า “เมียผมยังทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าวให้ผมกินอยู่ทุกวัน” 

ไม่กี่วันต่อมา ชาวบ้านอีกคนก็เข้าไปทักสามีอีกว่า “ลองสังเกตดูดีๆเถิด เมียของเจ้าตายไปแล้ว นางคืนชีพกลับมาหาเจ้าจริง ๆ” 

หลังจากนั้นสามีจึงเริ่มสังเกตภรรยาตัวเอง วันหนึ่ง ระหว่างนั่งกินข้าวกันอยู่นั้น สามีทักภรรยาว่า “มีหนอนออกมาจากจมูกเธอ” 

ภรรยาปฏิเสธ “ไม่ใช่นะ นี่มันน้ำมูก” 

เมื่อมีเรื่องประหลาดเช่นนี้ สามีจึงหาทางตีจากภรรยา เขาขอให้ภรรยาไปตักน้ำ แต่ภรรยาก็ตักน้ำอย่างรวดเร็วและกลับมาถึงบ้านขณะที่สามียังไม่ทันหนี 

เมื่อไม่รู้ว่าจะหนีภรรยาอย่างไร สามีก็ไปปรึกษาชาวบ้าน ชาวบ้านแนะนำให้สามีไปตัดไม้ไผ่มาทำกระบอกน้ำพร้อมเจาะรูไว้ใต้กระบอก แล้วให้ภรรยาไปตักน้ำอีกครั้ง สามีทำตามคำแนะนำของชาวบ้าน สามีสบโอกาสจึงขี่ม้าหนีออกไปจากหมู่บ้าน ระหว่างทางมีคนแนะนำว่า “คืนนี้ถ้าไปถึงที่ไหน ให้เข้าไปนอนหลบในโพรงไม้แล้วเอาก้อนหินอุดปากโพรงไว้” 

ปรากฏว่าคืนนั้นทั้งคืน ศพภรรยามาเฝ้าอยู่หน้าโพรง และใช้ลิ้นเลียหินที่โพรงไม้จนถึงเช้า วันรุ่งขึ้น สามีจึงพบว่าโพรงไม้และก้อนหินที่อุดไว้บางลงเท่าเปลือกไข่ สามีจึงรอดจากการถูกภรรยากัดกินมาได้

คืนนี้ราหูอมจันทร์

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่ 

นานมาแล้ว เชื่อกันว่า หากมีคนเสียชีวิตในหมู่บ้าน ห้ามทุกคนในหมู่บ้านพูดว่า “คืนนี้ราหูอมจันทร์” เพราะคำพูดนี้ปลุกศพให้ฟื้น ลุกขึ้นมาดูพระจันทร์ แล้วอาจจะมากัดคนได้ 

วันหนึ่งมีชายชราเสียชีวิต ด้วยความเชื่อดังกล่าว ชาวบ้านจึงไม่อยากเฝ้าศพตามธรรมเนียมลีซูที่ต้องมีการเฝ้าศพผู้ที่เพิ่งเสียชีวิตที่บ้านสามคืนก่อนนำไปประกอบพิธี แต่มีชายติดยาคนหนึ่งไม่สนใจความเชื่อนี้ จึงอาสาเฝ้าศพชายชราโดยขอค่าตอบแทน ชาวบ้านรวบรวมเงินแถบจากแต่ละหลังคาเรือนเตรียมไว้ให้เขา พร้อมเหล้าที่จะแถมให้อีกหนึ่งถัง 

ตกเย็น ระหว่างที่ชายติดยาเฝ้าศพอยู่นั้น ชาวบ้านคนหนึ่งเผลอตะโกนว่า “คืนนี้ราหูอมจันทร์” 

สิ้นเสียงชาวบ้านคนนั้น ศพชายชราที่มีเพียงผ้าฝ้ายห่อไว้ก็ลุกขึ้นนั่ง ชายติดยาจึงกรอกเหล้าเข้าปากศพเพื่อมอมเหล้าศพ ไม่ให้ศพลุกขึ้นมาได้อีก 

วันรุ่งขึ้น ชายติดยาก็ได้เงินแถบและได้เหล้ากลับไปดื่มอีกด้วย 

ชายติดยาอีกคนหนึ่งรู้เข้าก็อยากมาเฝ้าศพแลกค่าตอบแทนบ้าง ชายติดยาคนนี้ต่างจากชายคนแรก เขารู้สึกกลัวอยู่บ้าง ตกกลางคืน ศพก็ลุกขึ้นอีก ชายติดยาเอาฝิ่นให้ศพสูบ ศพสูบฝิ่นอยู่นาน ไม่ล้มตัวลงนอนเสียที ชายติดยาเกิดกลัวศพขึ้นมา จึงพยายามหนี แต่หนีไปได้ไม่ถึงประตูบ้านก็ถูกศพกัดทึ้งเสีย 

จึงเป็นธรรมเนียมมาจนปัจจุบันว่า ต้องเฝ้าศพให้ดี ทั้งมีความเชื่ออีกว่า ต้องคอยระวังไม่ให้แมวข้ามศพเพราะถ้าหากแมวข้ามไปแล้วศพจะฟื้นคืนมาได้ 

น้องชายกลายเป็นผีดิบ

เล่าโดย อะซาผะ สีมี่

นานมาแล้ว มีชายสองคนเป็นพี่น้องกัน วันหนึ่งทั้งคู่เข้าป่าไปเก็บผลไม้ เวลาประมาณเที่ยง พบต้นไม้ชนิดหนึ่งผลคล้ายหมาก น้องชายปีนขึ้นไปเด็ดผลไม้ ส่วนพี่ชายยืนรับผลไม้จากน้องอยู่ใต้ต้น พี่ชายเก็บผลไม้ใส่กระบุง เมื่อน้องชายเห็นว่าเด็ดผลไม้ได้เท่าที่ต้องการแล้วจึงลงจากต้นไม้

ขณะปีนลงจากต้นไม้ น้องชายเหยียบกิ่งไม้เปราะ เขาร่วงลงกระแทกพื้นอย่างแรงและเสียชีวิตทันที 

พี่ชายตกใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับศพน้อง จึงนั่งก่อไฟอยู่ใกล้ๆศพพลางคิดคำนวณ ใจหนึ่งก็อยากหนีเพราะกลัวว่าน้องชายจะฟื้นขึ้นมาเป็นผีดิบ อึดใจต่อมา พี่ชายจึงนำไม้มาเหลาปลายจนแหลม เมื่อเหลาเสร็จก็เอาไม้ตอกยึดศพให้ติดกับพื้น โดยตอกที่ขา เอว และคอ แล้วพี่ชายก็รีบวิ่งกลับบ้าน

ขณะที่วิ่งเกือบจะถึงบ้านอยู่แล้วนั้น ศพน้องชายกลับวิ่งไล่ตามมาติดๆ หมายจะกินพี่ชาย พี่ชายตะโกนเรียกคนในบ้านให้เปิดประตู แล้วก็วิ่งเข้าบ้านไป ส่วนศพน้องชายยังคงยืนอยู่หน้าประตู เพราะศพก้มไม่ได้จึงเข้าบ้านคนไม่ได้ พี่ชายจึงรอดจากเงื้อมมือผีดิบน้องชาย

วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านช่วยกันฝังศพน้องชายตามพิธีลีซู แล้วผีดิบน้องชายก็ไม่ปรากฏตัวอีกเลย

 

Let’s learn

Lisu Culture

Molazu